เที่ยวทิพย์: เกาะสุกร (วันที่สาม)

 

เรื่อง และ ภาพ : เพชรภูมิ กสุรพ

← อ่านตอนก่อนหน้า

ตื่นสาย

วันนี้แม้วันนี้จะตื่นตี 5 ครึ่ง แต่ออกเดินทางสายกว่าเมื่อวาน คือ ราว 6 กว่า ๆ เพราะมีแผนไปถ่ายนก ไม่ได้ไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่สถานที่ถ่ายนกก็ยังเป็นที่เดิม พอใกล้ถึงที่หมายก็มีนกเหยี่ยวแดงและกินเปี้ยวมารอรับอยู่ ถ่ายได้สัก 10 นาทีก็ไปแวะที่ท่าเรือสักหน่อยเพื่อถ่ายทิวทัศน์หลังอาทิตย์ที่ขึ้นมาเกาะบนเส้นขอบฟ้า แล้วเดินด้วยเท้าเข้าสู่พื้นที่ที่ถ่ายนกต่อ วันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดแถมได้ภาพอีก๋อยมาแซม ๆ กับฝูงนางนวลอีกด้วย อยู่ที่นี่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ออกไปถ่ายหาดเสียมไหมที่อยู่อีกฟากของเกาะ ถ่ายทิวทัศน์พร้อมกับติดตามพฤติกรรมปูลมไปเรื่อย ๆ และ ในช่วงปลายมรสุมนี้ท้องฟ้าแจ่มใสมาก ทำเอาพวกเราต่างมีความสุขตาม ๆ กันขณะถ่ายทะเล พอได้ที่ก็เดินทางเรื่อย ๆ ไปสำรวจจุดสูงสุดของเกาะสุกร ก่อนจะลงมากินข้าวเชี่ยง (Brunch) พร้อมกับเพื่อนของพี่รอง ระหว่างกินข้าว พี่รองก็เล่นกับน้องแมวไปพลาง เพราะคนในเกาะแห่งนี้เกือบทั้งหมดเป็นมุสลิม ทำให้สัตว์เลี้ยงมีแต่แมว

เหยี่ยวแดงมาคอยต้อนรับ

นกกินเปี้ยว เป็นนกกลุ่มเดียวกับกระเต็น ที่เรียกกินเปี้ยว มาจากอาหารหลักของมัน คือ ปูเปี้ยว ไม่ใช่ของเปรี้ยว ๆ แต่อย่างใด

พี่รองกับบ้อง 600mm. f/2.8 ของเขา

หาดทรายที่เราจะเดินไปถ่ายนก

เรือของชาวบ้านที่จอดอยู่บนท่าเรือ

เรือกลางทะเล

ฝูงอีก๋อยบนผืนน้ำกับนางนวลที่บินเหนือน้ำ

เสียมไหม อย่างนี้มันเสียมไหม

วันนี้เราใช้เวลาทั้งวันมากกว่าวันอื่น ๆ เลยทำให้เวลาพักผ่อนในห้องไม่ค่อยมาก นอกจากการสำรวจที่ที่จะถ่ายดาว ก็ได้พื้นที่ส่วนท้ายของโรงเรียนเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม อันที่จริง การถ่ายดาวของเกาะแห่งนี้ถือว่าอำนวยมาก ๆ เพราะชุมชนไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่โต แสงไฟจึงไม่ได้มีมาก บรรยากาศค่อนข้างมืดสงบ เพราะถ้าหากแสงไฟเยอะ จะทำให้ไม่เห็นดาวมากมายแถมมีแสงไปอยู่ในเฟรมภาพให้รบกวนลูกใจเสียอีก ก่อนถึงเวลาพระอาทิตย์ใกล้ร่วงก็รีบออกเดินทางไปยังหลังโรงเรียนเพื่อถ่ายนก โดยที่ผู้เขียนไม่ได้เอาอุปกรณ์อะไรไปมาก เพราะหนัก แถมเชือกกางเกงมาเกี่ยวกับโซ่ล้อรถเครื่องจนต้องดึงให้ขาดตอนมาถึงที่หมาย นับว่าซวยไป แต่เย็นนี้มีฝูงเหยี่ยวแดงออกมาร้องอุแว้ ๆ คล้ายเสียงทารกเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ผืนหนองน้ำเล็ก ๆ กลางทุ่งก็มีพวกนกน้ำมาหาอาหารกันเป็นกลุ่มให้เราได้ถ่ายจนใจชื้นและดับความซวยนี้ลงไปได้บ้าง

เหยี่ยวแดง (ภาพนี้ถ่ายประกวดแล้วแพ้)

นกยางเปีย

มีลูกเล่นให้ภาพดูเคลื่อนไหว

ศิลปะสัจจะ (?) นิยม

ระหว่างถ่ายนก เราก็ไปถ่ายชาวบ้านด้วย นอกจากคนที่นี่จะหาเลี้ยงชีพด้วยการทำนา ไร่แตงโม และประมงแล้ว สวนยางพาราก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่พวกเขาทำกัน ใกล้ ๆ ที่เราถ่ายนกก็มีชาวบ้านนำยางแผ่นที่ได้จากการกรีดยางมาผสมกับสารเคมีให้จับตัวแล้วรีดจนเข้ารูปทรงมาตาก เลยขอถ่ายภาพ พร้อมชวนแม่ที่เป็นเจ้าของบ้านและลูก เป็นนักเรียนในโรงเรียนที่เรากำลังพักอยู่ที่กำลังซนและสงสัยในการมาถ่ายภาพของเรามาจับแผ่นยาง เหมือนกับกำลังมีกิจกรรมให้ภาพดูมีชีวิตและความเป็นสารคดี ฉะนั้น ภาพที่เราเห็น ๆ กันตามแกลเลอรี่ต่าง ๆ แล้วเหมือนกำลังถ่ายทอดชีวิตของชาวบ้านจริง ๆ แต่มันก็ไม่ใช่อยากที่เราเห็นก็ได้ มันอาจจะเป็นการจัดฉาก ขอให้เขาสาธิต หรือแสดงท่าทางเพื่อให้ภาพออกมาตามที่เราต้องการ และบางครั้งภาพเหล่านี้อาจเป็นภาพแทนหรือการผลิตซ้ำที่สังคมเมืองกำลังวาดฝันว่า “ชนบท” เป็นอย่างไรด้วยซ้ำ เช่น ความสงบ เรียบง่าย ห่างไกล โดยที่ความเป็นจริงของข้างหลังภาพ อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นมันก็มี

เมื่อรู้สึกได้ว่าฟ้ากำลังจะมืดลง ก็รีบออกเดินทางไปยังหาดเสียมไหมด้วยความกังวลว่าจะถ่ายทันพระอาทิตย์ตกน้ำหรือไม่ สุดท้ายก็มาไม่ทัน เรามาถึงตอนที่พระอาทิตย์โขกกับส่วนขรุขระของภูเขาไปแล้ว และฟ้าวันนี้ค่อนข้างขุ่นมัวจนถ่ายพระอาทิตย์ไม่ชัดอีกด้วย แต่อย่างน้อยท้องฟ้าที่มีสีที่ไล่ระดับจากการตัดกับแสงสะท้อนของอาทิตย์ที่ชิงพลบไป ก็ยังทิ้งความสวยงามให้กับพวกเราได้ถ่ายอยู่ ระหว่างถ่ายไปก็เล่นมุข  “เสียมไหม อย่างนี้มันเสียมไหม” ไป เพราะชื่อของหาดแห่งนี้เหมือนกับคำว่า “เสียไหม อย่างนี้มันเสียไหม” ท่อนฮิตจากเพลง “เสียไหม” ของพี่หนุ่ย อำพล ลำพูล ในปี 2535 หลังแยกจากวงไมโครไปได้ 2 ปี การถ่ายพระอาทิตย์ตกของผู้เขียนในวันนี้ อาจจะไม่ได้มีอุปกรณ์ที่พร้อมเพราะต้องสละให้เบาลง แต่ภาพที่ออกมาก็สวยไม่แพ้กับที่ใช้ขาตั้งและสายลั่นชัตเตอร์คอยอำนวยความสะดวกให้ภาพน้ำทะเลดูฟุ้ง ๆ เลย และความพอใจของัวนนี้ที่ได้ภาพหลากหลาย ตั้งแต่นกยามชาว ยันแสงอาทิตย์ร่ำไรในตอนเย็น ทำให้เราฉลองด้วยการซื้อน้ำเก๊กฮวย 3 ขวดมากิน

ตะวันชิงโพสต์ เรื่องธรรมดา

ดวงตะวัน: เจอคนก็อยากจะมุดลงดิน (ลูกเดียว)

รวมดาว

         ตกค่ำ เพื่อนพี่รองนำปู กุ้ง และแกงส้มปลามากินเป็นมื้อใหญ่ และอาจเป็นมื้อที่พิเศษสุดในวันมาเที่ยวเกาะ เพราะส่วนใหญ่เรากินแต่อาหารตามสั่ง (ทั้งสั่งให้เขาอาหาร และสั่งให้เราทำอาหารเอง) ง่าย ๆ กินจนหมดก็ได้เวลาไปถ่ายดาว ผู้เขียนหอบเสื่อผื่นกะติกน้ำใบ เดินทางไปยังจุดถ่ายดาวที่กำหนดไว้ วันนี้ท้องฟ้าเต็มใจที่สุด แม้ว่าปลายปีจะไม่มีทางช้างเผือกให้ถ่าย แต่ดาวก็มากพอที่จะหาลูกเล่นอะไรมาถ่ายแทน เช่น ถ่ายดาวแบบลากเส้น (Star Trails) ด้วยการถ่ายภาพหลายใบแล้วเอาไปรวมในคอมพิวเตอร์ ให้เทคโนโลยีช่วยอีกที ทั้งนี้ ดวงดาวมันไม่ได้หยุดนิ่งกับที่ แต่มันจะหมุนตามดาวเหนือไปเรื่อย ๆ เมื่อภาพที่ดาวเคลื่อนไหวหลายใบมารวมกัน มันจะลากเป็นเส้นยาว ๆ ทันที ฉะนั้นหากจะถ่ายดาวแบบนี้ให้สวย ๆ ก็ต้องหาดาวเหนือก่อน เพื่อจะให้ภาพที่ออกมาเป็นการเคลื่อนไหวในรูปวงกลม

            อยู่มาจนดึก ลมที่สงบ และผู้เขียนที่นอนงีบอยู่บนเสื่อ เห็นว่าอีกนานกว่าแบตเตอรี่จะหมด เลยคุยกับพี่รองว่าสักตี 1 ค่อยออกมาเก็บกล้องทีเดียว เราไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ก่อนจะเดินเซกลับที่พักนับหลายสิบเมตรด้วยการงดเปิดไฟฉาย เพื่อกันไม่ให้แสงรบกวนการถ่าย ถึงเวลาก็เดินไปเก็บกล้อง เสื่อและกะติกน้ำ หอบหิ้วด้วยแรงอ่อนล้าและพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ จนถึงที่พักก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายไปจัดให้เรียบร้อย จากนั้นก็อาบน้ำ นำภาพเข้าคอมพิวเตอร์พกพา แล้วก็พกเครื่องใช้ทำความสะอาดร่างกายไปอาบน้ำ ก่อนเข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย

หางช้างเผือก โผล่มาแค่นิดเดียว

ถ้าแสงไม่มากไปก็จะทำให้เห็นดาวชัดขึ้น

อีกฝากหนึ่งที่ภูกระดึง TU Photo กำลังจัดค่ายใหญ่ ส่วนอีกฟากหนึ่งที่เกาะสุกร เราก็พักร้อน

“เพราะการถ่ายภาพทำให้เราบังเอิญมาพบกัน (ในที่ที่ต่างกัน) ”