ขอให้พรุ่งนี้ไม่ซวยไปมากกว่านี้: เมื่อเราต้องไปถ่าย Wildlife ที่เขาใหญ่ ตอนที่2
เรื่อง และ ภาพ: ณัฐวรีย์ ฐิตวัฒนะสกุล
หลังจากผ่านไฟนอลปลายเดือนพฤษภาคมมาอย่างสาหัส และเป็นช่วงเวลาที่พี่กวินกลับจากการไปเรียนที่เบลเยี่ยมพอดี การเดินทางครั้งสุดท้ายก็เกิดขึ้น โดยมี “พี่เจน” แฟนพี่กวินร่วมเดินทางไปด้วย เราออกจากกรุงเทพตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพราะไหน ๆ ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จะได้ “ให้มันจบ” โปรเจกต์นี้สักที
พวกเราถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ประมาณ 8 โมงเศษ ที่โค้งสุดท้ายก่อนถึงจุดชมวิวกม.30 มีรถโฟร์วิลจอดหลบอยู่ไหล่ทาง ช่างภาพที่แต่งกายด้วยชุดลายพราง เช่นเดียวกับกับตากล้องคนอื่น ๆ กล้องและเลนส์ของเขาบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ เราเข้าร่วมการถ่ายนกกกกำลังบินจับแมลงครั้งนี้ด้วย จากข้อจำกัดเรื่องระยะเลนส์ครั้งที่ผ่าน ๆ มา คราวนี้กลับมาพร้อมกับเลนส์ แทมรอน 150-600 mm น้ำหนักของเลนส์ที่มากขึ้นทำให้ขาตั้งที่เตรียมมาเกือบรับน้ำหนักไม่ไหว พี่ตากล้องเห็นจึงเอาขาตั้งกล้องของเขามาให้ยืม
สักพักพอนกเริ่มอิ่ม พวกเราก็เดินทางต่อมาที่โป่งทุ่งกวาง เป็นลานกว้าง ๆ ที่กลุ่มมือโปรชอบมาตั้งกล้องนั่งเฝ้ากัน พี่กวินสังเกตเห็นเหยี่ยวที่เกาะอยู่บนต้นไม้สูงต้นหนึ่ง และบินหนีนกแซงแซวที่คอยไล่ แต่เนื่องจากพวกมันบินสูงและเร็วมาก เราเองที่เป็นมือใหม่และยังไม่ชินกับน้ำหนักกล้องที่ติดซุปเปอร์เทเล จึงถ่ายไม่ทันและรูปที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าไรนัก ตอนบ่ายในวันเดียวกัน พวกเราเดินทางไปที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติกองแก้ว เผื่อเจอนกเงือกสีน้ำตาลที่ออกจากรังไปไม่กี่วันก่อน แต่ไม่เจออะไร นอกจากนกตัวเล็กที่บินไปมาและแมลง พอเดินจบเทรล (trail) ก็เย็นมากแล้วจึงตัดสินใจกลับที่พักที่อยู่ด้านล่างอุทยาน พี่กวินรู้ข้อมูลจากกลุ่มเฟซบุ๊ก “เขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” ว่ามีโขลงช้างป่ามากินหญ้าและดินโป่งที่โป่งทุ่งกวางตอนเย็น ทำให้เราตั้งธงว่า พรุ่งนี้จะไปเฝ้าช้างกัน!
มีสำนวนที่ว่า “นกที่ตื่นเช้า ย่อมจับหนอนได้ก่อน” เราก็ไม่รอช้ารีบออกจากที่พักไปอุทยานตั้งแต่ฟ้าสาง หวังจะได้ภาพสัตว์ตอนเริ่มออกหากิน เราสามคนมุ่งหน้าไปยังรังของนกคิงฟิชเชอร์ เพราะจำได้ว่า ตอนไปถ่ายกับพี่แขกครั้งก่อนระยะเลนส์ 70-300 mm ไม่อาจเก็บภาพได้ ครั้งนี้ต้องการแก้มือ!
แต่นกที่ดวงกุดไม่สามารถจับหนอนได้อย่างไร พวกเราที่โดนโชคชะตาสาปให้ซวยก็ไม่ได้ภาพนกอย่างนั้น นกคิงฟิชเชอร์เป็นนกอพยพและทิ้งรังไปแล้ว ดังนั้นการเดินแหวกหญ้าเข้าไปนั่งรอชั่วโมงเศษเป็นการสูญเปล่า อีกทั้งยังโดนตัวทากดูดเลือดอีกด้วย
เกือบเที่ยง สัตว์จะหนีอากาศร้อนเข้ารัง ทำให้เวลาขับรถต้องลดกระจกลงเพื่อฟังเสียงสัตว์ ก่อนถึงอ่างเก็บน้ำสายศร เราต่างได้ยินเสียง “ผัว ๆ ๆ ” เป็นเสียงของชะนีที่อยู่ใกล้มาก ได้ยินอย่างนั้นเราก็รีบลงจากรถและเดินไปตามเสียงทันที แต่บริเวณนั้นเป็นทุ่งหญ้าที่ใกล้ป่า เราทั้งสามคนจึงเป็นจุดเด่นที่ชะนีเห็นได้ง่ายมาก ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ชะนีก็ปีนป่ายเข้าป่าหนีไปอย่างว่องไว
เวลา 5 โมงเกือบครึ่ง พวกเราตาลีตาเหลือกมาที่โป่งทุ่งกวาง พบรถเกิน 10 คันจอดเรียงรายกันอยู่ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการถ่ายโขลงช้างป่าที่กำลังกินดินกินหญ้าอยู่ไกล ๆ ชื่อโป่งทุ่งกวางก็ต้องมีกวาง สักพักกวางตัวหนึ่งเดินมาด้อม ๆ มอง ๆ ก่อนจะวิ่งผ่านฝูงช้างเข้าป่าอีกด้าน เรารีบเก็บภาพกวางน้อยในโขลงช้างมาได้ ไม่นานนักช้างทั้งโขลงก็วิ่งกลับเข้าป่าอย่างรวดเร็ว คงจะเป็นเพราะได้ยินเสียงหมีกำลังสู้กับหมาจิ้งจอก พี่กวินวิ่งมาตามเรากับพี่เจนให้ขึ้นรถไปบริเวณที่หมีอยู่ ช่างภาพทุกคนก็ทยอยตาม ๆ กันไป
ทว่าการต่อสู้นั้นอยู่ในป่าทึบที่ไม่สามารถมองเห็นได้ บรรดาผู้เฝ้ารอบ้างก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อน บ้างก็มองหาจนพระอาทิตย์ตก ฟ้าระเบิด* ณ ทุ่งโล่งตอนนั้นสวยมาก คนที่ยังอยู่ไม่กี่คนยืนดูท้องฟ้าด้วยกันและกลับที่พัก
*ฟ้าระเบิด เป็นคำที่คนที่ชอบถ่ายรูปใช้บรรยายปรากฏการณ์การกระเจิงของแสงช่วงพระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือตกดิน ที่เกิดสีสันต่าง ๆ มากมายขึ้นบนท้องฟ้า
วันที่สาม พวกเราไปนั่งเฝ้ารังพญาปากกว้างลายเหลือง ที่อยู่ถัดจากรังหมวกกันน็อคราว ๆ 500 เมตร ระหว่างนั้น พี่เจนและเราเห็นวัตถุใหญ่สีน้ำตาลเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ทีแรกไม่ได้เอะใจเพราะคิดว่าตาฝาด แต่ต้นไม้ไหว ๆ จึงละสายตาจากรังนกมานั่งจ้องจุดที่เห็นวัตถุสีน้ำตาลเคลื่อนที่ มวลสีขาวก็ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว “ชะนี!” เราร้องด้วยความตื่นเต้น พวกเราวิ่งตามกันไปในเส้นทางที่ดูเผิน ๆ เป็นชายป่าธรรมดา แต่ถ้าเดินเข้าใกล้แล้วจะปรากฏเป็นรอยทางเดินเล็ก ๆ นำไปสู่ลำธารตื่นเขินใต้ต้นไทรที่มีผลสุก ฝูงชะนี 4-5 ตัวกำลังกินลูกไทรอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นาน แล้วจึงปีนไปนอนบนต้นไม้อีกต้นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ช่วงบ่ายเรานั่งรถไปตามถนนเช่นเคย คราวนี้พี่เจนผู้มีหูตาว่องไวเห็นนกกกและนกแก๊ก (นกเงือกอีกพันธุ์หนึ่ง) บนต้นไม้ หลังจากจอดรถได้ พวกเราก็ลงไปเก็บภาพนกกกอย่างใจเย็นและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป็นเวลาเย็นพอสมควรที่จะไปนั่งรอโขลงช้างที่เดิม ระหว่างทางก่อนถึงหนองผักชี มีช่างภาพตั้งกล้องอยู่ริมถนน เมื่อเข้าไปถามจึงทราบว่า ครอบครัวนกกกกำลังต้อนลูกที่เพิ่งหัดบินให้บินข้ามถนนไปสู่ป่าอีกฝั่ง เรารอจนได้ภาพนกกกที่บินข้ามถนนแล้วจึงมุ่งหน้าไปโป่งทุ่งกวางอีกครั้ง คราวนี้รอกระทั่งแน่ใจว่าช้างไม่ออกมาเช่นวันก่อน แต่ฟ้ายังไม่มืด จึงตั้งใจว่าจะขับรถวนดูสักรอบก่อนลงอุทยาน เป็นอีกครั้งที่พี่เจนเห็น “เม่น” กำลังข้ามถนนไปยังโซนบ้านพัก เราไม่รอช้า รีบขับรถตามเข้าไปทันทีและเฝ้าถ่ายจนเม่นเดินลับหายไป
การวิ่งตามสัตว์ทั้งวันทำให้เหนื่อยและกระหาย พวกเราจึงมาแวะพักดื่มโกโก้เย็นที่ คาเฟ่17c และได้คุยกับลุงเจ้าของร้านใจดี พวกเราเลือกที่นั่งกลางแจ้ง สักพักพี่กวินชี้ไปด้านหลังเราแล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ตัวไรอ่ะ” แล้วเขาก็วิ่งไปเอาไฟฉายที่รถ เราก็รีบคว้ากล้องแล้วหันไปส่องทันที แสงสลัวจากร้านกาแฟสว่างไม่มากพอที่จะเห็นว่านั่นคือตัวอะไร เราดัน ISO สูงที่สุดทั้งที่รู้ว่าจะทำให้เกิด Noise ในภาพ สีชมพูของท้องฟ้าที่ยังไม่มืดสนิทเป็นพื้นหลังภาพ จึงมองเห็นเป็นรูปร่างของสัตว์ที่กำลังเดินบนสายไฟ จะว่าเป็นกระรอกก็ไม่ใช่เพราะตัวใหญ่เกิน จะเป็นแมวก็แปลกที่มาอยู่บนอุทยาน เอารูปให้คุณลุงดู แกบอกว่าเป็น “อีเห็นไฟ” ชอบเดินบนสายไฟเป็นประจำ
ไม่นานก็มีคู่สามีภรรยาขาประจำที่ดูสนิทสนมกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี พวกเขาบอกว่ามารอดูเม่น แล้วเจ้าเม่นสองตัวก็ค่อย ๆ เดินต้วมเตี้ยมมาหาอาหารข้าง ๆ คาเฟ่ แต่แล้วไฟสปอตไลท์จากรถส่องสัตว์ก็สาดไปที่เม่นทำให้เห็นตัวชัดขึ้น เรารัวชัตเตอร์ไม่ยั้งจนกระทั่งรถส่องสัตว์ผ่านไป แต่ยังคงสงสัยว่าทำไมถึงมีรถส่องสัตว์ในเมื่ออุทยานปิดบริการที่พัก คุณลุงบอกว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้เข้าพักได้ แต่ทางอุทยานน่าจะไม่ได้แจ้งประกาศ มิเช่นนั้นนักท่องเที่ยวคงมาพักเต็มอุทยานเป็นแน่
จากนั้นพวกเราก็ลาคุณลุงกลับที่พักด้านล่างอุทยาน ระหว่างทางก็เจอสัตว์กลางคืนทั้ง หมาจิ้งจอก ช้างป่าที่เปลี่ยนไปหากินบริเวณโป่งชมรมเพื่อน และเลียงผาตัวใหญ่ก่อนจะถึงด่านปากช่อง เมื่อถึงที่พัก พวกเราก็แยกย้ายกันพักพ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันสุดท้าย
รุ่งขึ้นก็เดินทางเข้าอุทยานแต่เช้าตรู่ โดยมีจุดหมายที่เดียวที่ต้นไทรสุกหลังห้องน้ำจุดชมวิวกม.30 ก่อนจะกลับกรุงเทพ ฝูงชะนี 4-5 ตัวกำลังปีนป่ายกินผลไทรสุกโดยบางตัวมีลูกเล็กเกาะที่หน้าท้องด้วย ตามด้วยนกกรามช้างที่บินโฉบผลไทรสุกไปอย่างรวดเร็ว และนกกกที่บินมาเกาะ “กิ่งเทพ” ของต้นไทรอีกฟากของถนน กิ่งเทพที่ว่า เมื่อถึงปลายปีราว ๆ ตุลาคมบรรดานกเงือกจะมาเกาะที่กิ่งนี้ จึงเรียกว่ากิ่งเทพ
พอเวลาสายก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพต่อไป
การถ่ายภาพหัวข้อ Wildlife เป็นหนึ่งโปรเจกต์ที่เป็นความหาทำของเราเอง ซึ่งทั้งเหนื่อย สนุก ได้ประสบการณ์หลายด้าน และเจอเหตุการณ์พีค ๆ ทุกครั้งที่ไป ตั้งแต่โดนแผนที่แกง เจอฝูงลิงบุกรถ จะไปถ่ายนกแต่ดัน “นก” เอง ยางรั่ว มีครั้งหนึ่งเรามั่นใจว่าปิดกระจกล็อครถอย่างดีแต่ยังโดนสัตว์บุกเข้าไปกัดเบาะในรถเสียหาย แต่ได้พิสูจน์ว่าการเที่ยวคนเดียวไม่แย่อย่างที่คิด อีกทั้งทุกคนที่เจอที่เขาใหญ่น่ารัก เป็นมิตร และปฏิบัติกับคนแปลกหน้าเสมือนคนที่รู้จักมักคุ้นกันมานาน
สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า
“จงอย่ากลัวการเผชิญหน้า เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าการเปลี่ยนแปลงคือการอยู่ที่เดิม... ”
ขอขอบคุณเป็นพิเศษ: พี่กวิน พี่เจน และกีกี้บูบู้