เรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม: หาดใหญ่ในยาม “ยิ้มเหงา ๆ เศร้างาม ๆ”

 

เรื่อง และ ภาพ: เพชรภูมิ กสุรพ

“ยิ้มเหงา ๆ เศร้าพองาม ๆ คือ นิยามของความทุกข์ยาก...” เนื้อเพลงท่อนหนึ่งของเพลง ยิ้มเหงา ๆ เศร้างาม ๆ ของน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ได้ขับร้องก้องกู่มาตั้งแต่ปี 2531 อาจสื่อถึงบรรยากาศของหาดใหญ่ในยามนี้ ที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มานานกว่า 1 ปี ผู้เขียนเองรู้สึกและสัมผัสได้ จนกลับมาถ่ายภาพบรรยากาศเหล่านี้อีกครั้งด้วยฟิล์ม และนับเป็นเวลา 7 เดือนที่ไม่ได้ถ่ายเลย เพราะสถานการณ์เหล่านี้ทำให้เราอยู่แต่ในบ้าน ไม่รู้จะถ่ายอะไร และไม่รู้จะมีโอกาสอะไรให้ถ่ายกัน

สายลมเย็น ๆ พัดลอดมาทางช่องลมที่เกิดจากตึงสูงตั้งขนาบกัน ความรู้สึกได้ถึงลมแบบนี้หากเป็นช่วงที่คึกครื้นเมื่อหลายปีก่อน ก็คงจะปิดถนนแล้วจัดงานอะไรสักอย่าง เพราะรถรานั้นสัญจรไปมาอย่างแน่นขนัด แต่เดี๋ยวนี้เราสัมผัสความเย็นจากลมได้ตลอดวันและคืน ผู้เขียนเดินมาถ่ายบริเวณนี้ก็นึกจินตนาการไปยังช่วงเวลาที่ก่อนโควิดระบาด ย่านการค้าแห่งนี้ ไม่ใช่แค่สองตึกขนาบกันจนเกิดช่องลมอย่างห้างสรรพสินคา    เซนทรัล และโรงแรมลีการ์เด้นพลาซ่าเท่านั้นที่จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ยังรวมถึงถนนนิพัทธ์อุทิศทั้ง 3 สาย หัวใจกลางเมืองหาดใหญ่เป็นย่านการค้าสำคัญอีกด้วย หากคุณเผลอเข้าถนนเส้นนี้อย่างไม่ตั้งใจ อาจจะเป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือโชคไม่ดีก็ได้ เพราะรถนั้นติดจากการรอรับส่งคนไปจับจ่ายซื้อของ บ้างก็มีรถทัวร์จากมาเลเซียสี่ห้าคันมาส่งลูกทัวร์ลงทอดน่องท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน มลายู และอินเดียที่อาศัยในมาเลเซีย โดยพื้นที่ที่ไกลสุดมาเที่ยวหาดใหญ่ ก็คงจะเป็นรัฐยะโฮร์ สุดแคว้นแดนแหลมมลายูติดกับประเทศสิงคโปร์

 

ร้านไอศกรีมกะทิ ที่ถูกห่อหุ้มพลาสติก จำศีลเพื่อรอคอยบรรยากาศคึกครื้นกลับมาอีกครั้ง

หน้าต่างมากกว่าร้อยบานของโรงแรมลีการ์เด้นพลาซ่าที่เคยเต็มไปด้วยผู้คน ทุกวันนี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศหงอยเหงา

 

แต่เดี๋ยวนี้ แค่คนที่อยู่จังโหลน ปาดังเบซาร์ หรือชุมชนอื่น ๆ ตามชายแดนก็ยังข้ามมาเที่ยวหาดใหญ่ไม่ได้เลย รถที่เคยติดกลับเดินไปมาอย่างสะดวก ไม่ก็ระวังรถที่ขับผ่านมาอย่างเร็ว พื้นที่ที่น่าจะอันตรายที่สุดในช่วงโควิดเนื่องจากมีคนแน่นขนัด กลับกลายเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดเนื่องจากไม่มีใครสักคนเลย อ่านแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับพ่อค้าแม่ขาย นี่เป็นฝันร้ายไม่คาดฝันมาก่อน เพราะหมายความว่าจะไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ ขาดรายได้ และอาจต้องหาทางใหม่อย่างดิ้นรน บ้างก็ขายของออนไลน์ หรือถ้าเลวร้ายที่สุดก็    ขายร้าน ปล่อยเช่าตึก จนไปถึงปิดกิจการ

วันนี้ที่ผู้เขียนมา ก็เป็นวันที่สองที่โรงเรียนเก่าของผู้เขียนสมัยมัธยมปลายบริการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) แก่นักเรียนเพื่อเตรียมพร้อมในการเรียนบนพื้นที่จริง (Onsite) อีกครั้ง เราเห็นน้อง ๆ ถกแขนเสื้อเพื่อแสดงหลักฐานว่าฉีดไปแล้ว หากการจัดการฉีดวัคซีนที่ดีและมีคุณภาพนั้นกระจายและเร็วไปกว่านี้ เราคงไม่ต้องรอคอยความหวังอย่างเบื่อหน่ายและทรมานใจไปวัน ๆ แต่ที่น่าจับตาต่อไปหลังจากนี้ คือ สิ่งที่รัฐกำลังจัดการเพื่อการเปิดประเทศในอีกกี่วันก็ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรต่อไป โดยที่รัฐต้องให้ความสำคัญกับชาวบ้าน หรือ พลเมืองที่ตัวเองรับผิดชอบ ไม่ใช่ความร่ำรวยของตนเองพียงอย่างเดียว

 

“เซี้ยะ(นามสมมุติ)” นักเรียนหญิงมัธยมปลายของโรงเรียนแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ ถกแขนเสื้อเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองนั้นได้รับวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีนักเรียนอีกหลายคนที่ต้องรอฉีดวัคซีนชนิดนี้ เพื่อนมีจำนวนวัคซีนจำกัด

 

เราถ่ายรูปกันเพลิน ๆ จนหมดม้วน ก็นำฟิล์มกลับไปล้างที่ร้านบุษรากร ร้านฟิล์มยอดนิยมในหาดใหญ่ วันที่เอาไปล้าง ผู้เขียนเห็นเลยว่าร้านเริ่มมีลูกค้าอีกครั้ง หลังจากไปแวะทักทายเมื่อราว 4 เดือนก่อนก็พบว่าทางร้านแทบไม่มีลูกค้ามาเลย หากใครชอบถ่ายรูปด้วยฟิล์มแล้วอยู่ในพื้นที่หรือเดินทางมาหาดใหญ่ สามารถมาใช้บริการได้ โดยร้านอยู่ถนนถนนนิพัทธ์อุทิศ 3 อยู่ใกล้กับโกตี๋โอชา ร้านอาหารชื่อดังที่มีเมนูเด็ดอย่างบักกุดเต๋ (สูตรกวางตุ้ง เน้นพริกไทย น้ำซุบใส) และข้าวมันไก่แบบสิงคโปร์ ผู้เขียนมากินประจำ อร่อยมาก

บรรยากาศทั้งหมดในบทความนี้ เป็นเพียงแค่การบอกเล่า “ส่วนหนึ่ง” ของหาดใหญ่ในบรรยากาศ  เหงา ๆ เศร้า ๆ งาม ๆ เท่านั้น หากเทียบกับความรู้สึกของคนค้าขายในย่านแห่งนี้ที่ต้องทรมานกับการขาดรายได้จากนักท่องเที่ยว ผู้เขียนเองก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อใดที่จะกลับมาคึกครื้นและมีชีวิตชีวาจนกลับมาเป็นเมืองไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายหน้าหลายแดนที่เข้ามาอยู่อย่างไม่ขาดสายอีกครั้ง เราจึงได้แต่คาดหวัง และเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการกับปัญหาโรคโควิดอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่มันจะแย่ลงไปมากกว่านี้