ท่องทีลอซู (วันแรก)
เรื่อง และ ภาพ: เพชรภูมิ กสุรพ
เรื่องราวชุดนี้ หากคาดการณ์ไม่ผิดพลาดอะไร คงจะเป็นเรื่องท้าย ๆ ที่ผมได้เขียนในฐานะสมาชิก อันไม่มีจะกินของชมรมถ่ายภาพแห่งนี้ เพราะกำลังจะจบการศึกษาไปแล้ว เว้นเสียว่าจะมีใครอยากให้เขียน ก็เขียนต่อไปตามคำขอ (แน่นอนว่าได้เขียนต่อไป) โดยเรื่องราวครั้งนี้เป็นการเดินทางไปน้ำตกทีลอซู จังหวัดตาก รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างทาง และเดินทางร่วมกับสมาชิกบางส่วนของชมรมถ่ายภาพธรรมศาสตร์กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 21 – 25 ธันวาคม 2564
จากบ้านใหม่วังไฮ สู่เมืองตาก
เรานัดหมายกันตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2564 ไปแล้วว่าจะเดินทางไปยังน้ำตกทีลอซู รูปแบบการเดินทางเป็นการค่อย ๆ วาดแผน ค่อย ๆ ร่างโครง ไม่ได้คิดแผนสำเร็จรูปขึ้นมาครั้งเดียวเลย ส่วนผมไปเที่ยวภาคเหนือก่อนวันเดินทางราวหนึ่งสัปดาห์ เพื่อไปหาพรรคพวก และตระเวนถ่ายภาพในสถานที่ที่ค้างคาใจอยู่รอบก่อน เพราะครั้งนั้นฟิล์มดันหมดจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด และไม่คิดคาดว่าจะพลาดไปได้ เมื่อถึงเวลาที่นัดกันไว้ จึงจากลาเจ้าบ้านเอื้อเฟื้อให้ซุกหัวนอนและร่วมพาเดินทางไปยังสถานที่สวยงามในดินแดนลี้ แล้วออกเดินทางจากเคหะสถานชั่วคราว (บ้านเช่า) บนชุมชนบ้านใหม่วังไฮ จังหวัดลำพูน ลัดเลาะจากลำน้ำกวง เชื่อมลำน้ำปิงแล้วทอดลงมาเรื่อย ๆ ด้วยรถทัวร์สายอีสานมาถึงตาก เพื่อมาพบกับมิตรสหายที่นัดกันไว้และกินข้าวเที่ยงให้เสร็จไปตามกิจวัตรประจำพุง
โอดโอย โอ๊ยโอ๊ย อิดออดถึงแม่สอด
จุดหมายปลายทางของวันแรกเป็นอำเภอแม่สอด เพราะระยะทางไปถึงอำเภออุ้มผาง ที่ตั้งของน้ำตกทีลอซูนั้นต้องอ้อมภูเขาด้วยระยะทางมากกว่าร้อยกิโลเมตรพร้อมความชันอย่างหฤโหด หากจะไปถึงเลยคงจะกินทั้งเวลาและแรงกายใจเกินกว่าความจำเป็น จึงต้องพักที่นี่ก่อน เมื่อเรากินข้าวเที่ยงจนเสร็จก็รอผู้ร่วมเดินทางคนสุดท้ายที่มาจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำน่าน ดินแดนที่นักแต่งเพลงลูกทุ่งมักจะหาความคล้องจองให้ตรงกับชื่อจังหวัดด้วยการบอกว่าสาวเมืองนี้มักมีนัยน์ตาสีโศก เมื่อสมาชิกครบและจัดระเบียบทางสัมภาระให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินทางไปยังแม่สอด
ต้นกระบากยักษ์ที่เดินทางไปชมอย่างยากลำบาก ความใหญ่ของต้นนี้เราต่างไม่สนใจว่าต้องจับมืออีกกี่คนถึงจะโอบได้เต็มรอบ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่า คือ การทำใจว่าจะขึ้นกลับไปข้างบน อีก400 เมตรอย่างไรดี?
ระหว่างทางได้แวะอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ก่อนตกลงปลงใจไปชมต้นกระบากใหญ่ที่เชื่อกันว่าเป็นจุดน่าสนใจของอุทยานแห่งนี้ แต่ใครจะคิดว่าทางมันชันเกินกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ โดยทางเป็นบันใดลงถึงตัวต้นกระบากใหญ่ด้วยระยะทาง 400 เมตร ขาเข้าไปนั้นไม่มีอะไรมาก เพราะแรงโน้มถ่วงได้ช่วยทุ่นแรงไขข้อช่วงล่างให้เดินลงมาอย่างสะดวก แต่เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว ขาเดินกลับขึ้นมาต้องฝืนแรงโน้มถ่วงจนบั่นทอนไขข้อ ยิ่งคนข้อเข่าเสื่อมคงไม่ต้องพูดถึง เสียงผมระหว่างเดินกลับขึ้นไปยังรถเปล่งร้องด้วยความสั่นสู้ ดังโอดโอยเหมือนพรายไพรครวญครางลั่นป่า และเสียงลึกลับพากันขนลุกไปถึงด้านบนนี้เป็นหลักฐานชิ้นดีของความชันบนเส้นทางเข้าชมต้นกระบากยักษ์ มันลำบากและสูบกำลังยิ่งกว่าเส้นทางไปน้ำตกทีลอซูเสียอีก แต่คุ้มพอตัวกับการซื้อประสบการณ์ของที่นี่ (หรือเปล่า? โปรดชั่งใจดู) เมื่อถึงรถก็หมดแรงเหมือนร่างไร้วิญญาณที่มาถึงประตูโลกหลังความตาย ก่อนจะชมป่าเขาเพิ่มเติม แล้วออกจากอุทยานเพื่อพร้อมเดินทางไปยังเส้นทางจุดหมายของวันต่อ
ถึงแม่สอดในช่วงเวลาพลบค่ำ ร่างกายฟื้นมาจากอาการปวดข้ออีกครั้ง เราเข้าไปเช็คอินที่พักก่อนจะออกมาซื้อเสบียงที่ห้างสรรพสินค้า แม่สอดวันนี้ไปไกลกว่าที่ผมเคยมาครั้งแรกเมื่อสองปีก่อนมาก ความเจริญ สวยงาม และใหญ่โตมันก่อตัวขึ้นไปไวเหลือเกิน เราพรรณนาถึงความก้าวกระโดดของเมืองแห่งนี้พร้อมกับเดินหาร้านกินมื้อเย็นพลาง ๆ ก่อนจะเลือกกินร้านข้าวต้มโต้รุ่ง แล้วกลับไปนอนเอาแรงต่อ และคืนนี้จะเป็นคืนเดียวของการเดินทางที่หลับสบายสุด